วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หลักการรักษาสิว

การรักษาสิว หลักการรักษามีอยู่ 4 ประการ คือ
1. ลดการสร้างของต่อมไขมัน
2. ปรับขบวนการสร้างเซลล์ขี้ไคลที่รูขน
3. ลดจำนวนแบคทีเรียในการก่อสิวอักเสบที่สำคัญคือ P.acne
4. ลดการอักเสบของสิว คือ ลดอาการบวมแดงยาที่ใช้ในการรักษาสิวจะมีทั้งในรูปแบบของยากินและยาทาเฉพาะที่ ซึ่งจะพิจารณาตามความรุนแรงของสิว และลักษณะของสิวที่เป็น

กลุ่มยารับประทาน
1. ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin)มักจะใช้ในผู้ป่วยที่เป็นสิวที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่นๆ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์เพราะมีโอกาสเกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ เมื่อให้ใน
ผู้ป่วยหญิงวัยเจริญพันธุ์ ต้องให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยถึงการคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในขณะกินยาและหลังหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน ควรงดบริจาคโลหิตระหว่างการรักษาและหลังการรักษาอย่างน้อย 3 เดือนไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะมีผลต่อความสูงของเด็กได้

2. ยาในกลุ่มของฮอร์โมน หรือยาคุมจะลดความมันของหน้าได้ประมาณ 20-30% ไม่ควรใช้ในเด็กในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและหัวใจ และในผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมนอกจากนั้นยาอาจจะมีผลต่อเรื่องน้ำหนักตัว ความดันโลหิตสูง กระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนได้

3. ยากลุ่มยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีใช้หลายตัว เช่นTetracyclin, Doxycycline, Erythromycin การกินยาปฏิชีวนะนานๆ อาจจะมีผลต่อการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ยากินทุกตัวไม่ควรหาซื้อกินเอง ควรปรึกษาแพทย์โรคผิวหนังก่อนเสมอ เพื่อทราบถึงผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ยา

กลุ่มยาทา
1. ยาทาในกลุ่มวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Tretinoin, Adapalene,Tazarotene ได้ผลดีโดยเฉพาะสิวอุดตัน และยังใช้เป็นตัวป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่หรือน้อยลงได้ในระยะยาว แต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นใช้ในระยะแรกๆ

2. ยาทาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin,Erythromycin, Metronidazole ซึ่งจะให้ผลในการลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อสิวอักเสบไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้อย่างเดียวเพราะทำให้สิวดื้อยาได้

3. ยาทากลุ่ม Benzyl peroxide มีฤทธิ์ในการลดจำนวนแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิวแต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง และกัดสีเสื้อผ้าได้ ระวังไม่ทำยาเลอะเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อผ้าสีเข้ม

4. Azeliaic acid ฆ่าแบคทีเรียที่ก่อสิวและลดจำนวน Comedone ได้

5. ยากลุ่มอื่นๆ เช่น การฉีดสเตียรอยด์ปริมาณน้อยๆ ที่สิวอักเสบจะลดการอักเสบที่สิวได้เร็ว

สาเหตุของสิว


สิวเป็นความผิดปกติของหน่วยรูขุมขนและต่อมไขมัน (Pilosebacious gland) ซึ่งปกติจะอยู่ทั่วๆ
ไปบนผิวหนังของคนเรา แต่โดยมากมันเป็นบริเวณหน้า คอ และลำตัวส่วนบน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมัน ขนาดใหญ่อยู่หนาแน่น อายุที่เริ่มเป็นสิวมักอยู่ช่วง ระหว่าง 12-15 ปี มักจะรุนแรงสุดในช่วงอายุ 17-21 ปี 90% จะเริ่มหายไปเมื่ออายุ 25 ปี ส่วนน้อยที่จะเป็นสิว ไปจนถึงอายุ 45 ปี

สาเหตุของสิว เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลัก 4 อย่างคือ
1. ต่อมไขมันที่มีการสร้างและหลั่งไขมัน (Sebum)
มากเกินไป
2. ความผิดปกติของการสร้างเซลล์ล์ชั้นขี้ไคลของรูขน
3. แบคทีเรียบางชนิด เช่น Propionibacterium acne
ซึ่งอาศัยอยู่ในรูขน
4. เกิดจากเซลล์ล์ภูมิคุ้มกันบางตัวที่มีการหลั่งสารทำ
ให้เกิดการอักเสบ

โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อช่วงเข้าสู่วัยรุ่น จะเริ่มมีการสร้างฮอร์โมนที่เรียกว่า แอนโดรเจน(Androgen) ต่อมไขมันจะเริ่มตอบสนองต่อฮอร์โมนตัวนี้เมื่ออายุประมาณ 7-8 ปี ทำให้มีการหลั่งไขมัน
มากขึ้น นอกจากนี้แอนโดรเจนเองยังกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ชั้นขี้ไคลของรูขุมขนได้ด้วย ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า ไมโครโคมีโดน (Microcomedone) ซึ่งเป็น ต้นเหตุของสิว Microcomedone นี้อาจจะหายไปได้เอง หรือพัฒนาต่อไปกลายเป็นสิวลักษณะต่างๆกันได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมบางอย่าง หากมีการสะสมของไขมันและเซลล์ชั้นขี้ไคลมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เกิดเป็นสิวอุดตัน (Closed Comedone) หรือสิวหัวเปิด(Open Comedone) แต่ถ้ามีแบคทีเรีย P.acne หรือถูกเซลล์ภูมิคุ้มกันหลั่งสารบางชนิด ทำให้เกิดการอักเสบของ Microcomedone ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะ แดง นูน เป็นหนองได้


การรักษาสิว

การรักษาสิว

การรักษาสิว
การรักษาสิว
การรักษาสิวโดยทั่วไปคือการป้องกันการเกิดสิวใหม่ และลดการอักเสบของรอยโรคเดิมลง ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษา ปัจจุบันการรักษาสิวมีทั้งยาทาเฉพาะที่และยารับประทาน โดยการเลือกใช้วิธีรักษาแบบใด ขึ้นกับความรุนแรงของสิวในขณะนั้น

       ยาทาเฉพาะที่ที่ใช้ในการรักษาสิวมีหลายกลุ่มด้วยกันเช่นยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว แต่เนื่องจากถ้าใช้แต่เพียงตัวเดียว อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ จึงควรใช้ร่วมกับยาทาในกลุ่มอื่นๆ เช่นยากลุ่ม benzoyl peroxide โดยทาทิ้งไว้ 5-10 นาที จะช่วยลดสิวอุดตันและลดการอักเสบของสิวได้ และยาในกลุ่มวิตามินเอซึ่งจะช่วยลดการเกิดสิวอุดตันและช่วย